
Iron Ore เป็นแร่เหล็กธรรมชาติ ซึ่งโดยทั่วๆไปจะไม่สามารถพบแร่เหล็กบริสุทธิได้ในธรรมชาติ ซึ่งอยู่ในรูปแบบ แร่ฮีมาไทด์ และ แม็กนีไทด์ และนำแร่ทั้ง 2 ตัวนี้มีถลุงแร่ให้กลายเป็นเหล็ก
กระบวนการผลิตโลหะเหล็ก
วิธีการถลุงเหล็กเกิดขึ้นได้ด้วยกระบวนการต่างๆซึ่งมีวิธีการดังนี้
วิธีการผลิตเหล็กด้วยการถลุงเหล็กด้วยเตาพ่นลม ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ได้โลหะเหล็กประเภท เหล็กถลุงหรือเหล็กดิบ (Pig Iron)
วิธีการผลิตเหล็กด้วยการลดออกซิเจนโดยตรง โดยที่เหล็กที่ได้รับมาจากการผลิตในวิธีการนี้ คือ เหล็กพรุน (Sponge Iron)
โลหะเหล็กหล่อ (Cast Iron)
เหล็กหล่อเป็นส่วนผสมของเหล็กและคาร์บอน โดยมีคาร์บอนอยู่ในเนื้อเหล็กมากกว่า 2 % มีความยืดหยุนและหลอมละลายได้ดี น้ำเหล็กจะไหลสร้างเป็นรูปร่างได้ดีกว่า ทำผลงานที่ซับซ้อนกว่าได้เป็นอย่างดี
แบ่งประเภทเหล็กหล่อได้ดังนี้
เหล็กหล่อขาว (White Cast Iron) เป็นเหล็กที่มีคาร์บอนอยู่ในเนื้อเหล็กมีเม็ดเกรนสีน้ำเงินในรูปแบบคาร์ไบต์ มีความแข็งและเปราะ มีคุณสมบัติทนต่อการเสียดสีและต้านทานการสึกหล่อได้ดีที่สุด แต่ปาดผิวยากมากที่สุดเช่นกัน
เหล็กหล่อเทา (Gray Cast Iron) เป็นเหล็กที่มีคาร์บอนอยู่ในเนื้อเหล็กมีเม็ดเกรนสีเทาในรูปแบบแกรไฟต์ มีความแข็งแรงน้อยกว่าเหล็กหล่อขาว แต่ปาดกลึงผิวได้ง่าย
เหล็กหล่อเหนียว (Ductile Cast Iron) เป็นเหล็กที่มีลักษณะเป็นทรงกลม มีคาร์บอนอยู่ในเนื้อเหล็กรูปแบบแกรไฟต์ คุณสมบัติคล้ายกับเหล็กหล่อเทา แต่จะดีกว่านิดหน่อย
เหล็กหล่ออบเหนียว (Malleable Cast Iron) เป็นเหล็กที่เกิดจากการผลิตได้จากการนำเอาเหล็กขาวที่ผ่านวิธีทางความร้อน (Heat Treatment) เพื่อให้คาร์บอนที่อยู่ในรูปของคาร์ไบต์ของเหล็กหล่อขาว เกิดการแปลงสภาพให้กลายเป็นแกรไฟต์ ทำให้มีความอ่อนตัว
เหล็กกล้า (Steel)
เหล็กกล้าเป็นส่วนผสมของคาร์บอนกับเนื้อเหล็กอยู่ในปริมาณไม่เกิน 2% ถ้าหากมีปริมาณคาร์บอนที่ต่ำจะทำให้การขึ้นรูปง่ายยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อย่างหลากหลาย มีทั้งความแข้งแรง คงทน เหนียว และ ยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี เหล็กหล้าเป็นเหล็กที่น่าใช้มากที่สุด